บรรจุภัณฑ์พลาสติกกลายเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่รอบตัวเราในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำ ถุงพลาสติก กล่องใส่อาหาร ไปจนถึงถุงหิ้วสารพัดประโยชน์ ด้วยคุณสมบัติที่น้ำหนักเบา ทนทาน และราคาไม่แพง ทำให้พลาสติกเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ผลิตสินค้า
อย่างไรก็ตาม พลาสติกแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และเหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลาย ดังนั้น การเข้าใจประเภทของบรรจุภัณฑ์พลาสติกอย่างถูกต้อง จะช่วยให้เลือกใช้ได้อย่างปลอดภัย คุ้มค่า และเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์มากที่สุด
และในวันนี้ HHP จะขอพาคุณมาทำความรู้จักกับ 7 ประเภทบรรจุภัณฑ์พลาสติกยอดนิยม ที่เจ้าของแบรนด์เลือกใช้ พร้อมทั้งคุณสมบัติเด่น ข้อควรระวัง และคำแนะนำในการเลือกใช้ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและตอบโจทย์ทั้งธุรกิจและลูกค้า
ทำไมบรรจุภัณฑ์พลาสติกจึงได้รับความนิยมในทุกวงการ?
ก่อนจะไปดูประเภทต่าง ๆ ของบรรจุภัณฑ์พลาสติก เรามาทำความเข้าใจ ถึงเหตุผลที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เลือกใช้พลาสติกกันก่อน
- ต้นทุนการผลิตต่ำ: เมื่อเทียบกับวัสดุอื่น ๆ เช่น แก้ว หรือโลหะ พลาสติกมีราคาที่ประหยัดกว่า
- น้ำหนักเบา: ช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งและง่ายต่อการจัดเก็บ
- สามารถขึ้นรูปได้หลากหลาย: รองรับการออกแบบเฉพาะตัวตามลักษณะสินค้า
- ป้องกันความชื้นและสิ่งปนเปื้อนได้ดี: เหมาะสำหรับสินค้าอาหารและเครื่องสำอาง
- สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้: โดยเฉพาะพลาสติกบางประเภทที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
7 ประเภทบรรจุภัณฑ์พลาสติก
- PETE หรือ PET (Polyethylene Terephthalate)
คุณสมบัติใสเหมือนแก้ว แข็งแรง น้ำหนักเบา ป้องกันการซึมผ่านของก๊าซและไอน้ำได้ดีเยี่ยม จึงสามารถเก็บรักษากลิ่น รสชาติของอาหารและเครื่องดื่มได้นาน นิยมใช้ทำ ขวดน้ำดื่ม ขวดน้ำอัดลม กระปุกเนยถั่ว ถาดอาหารสำหรับเข้าไมโครเวฟ (ชนิด C-PET) บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น ขวดโทนเนอร์ เซรั่ม
-
- ข้อดี: เป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง และสามารถรีไซเคิลได้ง่ายที่สุดในบรรดาพลาสติกทั้งหมด
- ข้อควรระวัง: ไม่ทนต่อความร้อนสูง (ยกเว้น C-PET) และไม่เหมาะกับการบรรจุของร้อนโดยตรง เพราะอาจทำให้บรรจุภัณฑ์เสียรูปได้
- HDPE (High-Density Polyethylene)
คุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน ทนต่อสารเคมี เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการบรรจุของเหลวเข้มข้น จะมีลักษณะขุ่น นิยมใช้ทำ ขวดนม แกลลอนนม ขวดแชมพู ถังขยะ ท่อพลาสติก ถุงพลาสติกแบบขุ่น (ถุงก๊อบแก๊บ)
-
- ข้อดี:
- เป็น บรรจุภัณฑ์พลาสติก ที่มีความปลอดภัยสูงสำหรับผลิตภัณฑ์นม และของใช้ส่วนตัว
- ต้นทุนไม่สูง และมีความแข็งแรง ทำให้เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความทนทาน ในการขนส่ง และจัดเก็บ
- ข้อควรระวัง: เนื่องจากมีลักษณะขุ่น จึงไม่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการโชว์สีสัน หรือเนื้อสัมผัสภายใน
- ข้อดี:
- PVC (Polyvinyl Chloride)
คุณสมบัติมีความหลากหลายสูง สามารถทำให้แข็งหรือยืดหยุ่นก็ได้ ทนทาน ทนต่อน้ำมันและสารเคมี นิยมใช้ทำ บรรจุภัณฑ์ยา ฟิล์มหดรัดสินค้า ท่อประปา สายยาง กรอบประตูหน้าต่าง
-
- ข้อดี:
- มีราคาถูก และสามารถขึ้นรูปได้หลากหลาย
- คุณสมบัติการเป็นฟิล์มที่เกาะติดได้ดี
- ข้อควรระวัง:
- ข้อกังวลด้านสุขภาพ: อาจมีส่วนประกอบของสารพลาสติไซเซอร์ เช่น พาทาเลต (Phthalates) ซึ่งอาจปนเปื้อนสู่อาหารได้ โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูงหรือเมื่อได้รับความร้อน
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: เป็นพลาสติกที่รีไซเคิลได้ยากมาก และการเผาไหม้จะปล่อยสารไดออกซิน (Dioxin) ที่เป็นสารก่อมะเร็งออกมา ปัจจุบันหลายแบรนด์จึงพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ PVC สำหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร
- ข้อดี:
- LDPE (Low-Density Polyethylene)
พลาสติกที่เราคุ้นเคยกันดีในรูปแบบของ “ถุง” ด้วยคุณสมบัติที่นิ่ม และยืดหยุ่นสูง ทำให้เป็นวัสดุหลักสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความยืดหยุ่นมากกว่าความแข็งแรง นิยมใช้ทำ ถุงพลาสติกหูหิ้ว ถุงใส่ของเย็น ถุงซิปล็อก หลอดบีบสำหรับเครื่องสำอาง หรือยาบางชนิด
-
- ข้อดี: ใช้งานง่ายและหลากหลาย เหมาะสำหรับเป็นบรรจุภัณฑ์ เช่น ฟิล์มห่อแพ็คขวดน้ำ หรือถุงสำหรับใส่สินค้า
- ข้อควรระวัง: ไม่แข็งแรงเท่าพลาสติกชนิดอื่น และไม่เหมาะกับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก
- PP (Polypropylene)
ซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารที่ต้องอุ่นร้อน ด้วยคุณสมบัติการทนความร้อนได้สูงถึง 130-170°C ทำให้เป็นพลาสติกเพียงไม่กี่ชนิด ที่สามารถนำเข้าไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย นิยมใช้ทำ กล่องอาหารแช่แข็ง กล่องอาหารพร้อมอุ่น ถ้วยโยเกิร์ต ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขวดซอส ฝาขวด
-
- ข้อดี:
- ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการความสะดวกสบายในการอุ่นอาหาร
- มีความหลากหลายในการใช้งานสูง
- ปลอดภัยสำหรับบรรจุอาหาร (Food Grade) และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
- ข้อควรระวัง: อาจมีความเปราะบางเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เย็นจัด
- ข้อดี:
- PS (Polystyrene)
เป็นพลาสติกที่พบได้ในสองรูปแบบหลัก คือแบบแข็งเปราะ (Rigid PS) นิยมใช้ทำ ช้อนส้อมพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง ถ้วยโยเกิร์ตบางชนิด กล่องซีดี และแบบที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อ “โฟม” (Expanded Polystyrene หรือ EPS) นิยมใช้ทำ กล่องโฟมบรรจุอาหาร วัสดุกันกระแทกในกล่องพัสดุ ซึ่งเคยเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ปัจจุบันกำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม
-
- ข้อดี: ต้นทุนต่ำ และมีคุณสมบัติเป็นฉนวนที่ดี เหมาะสำหรับธุรกิจอาหารที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิในระยะสั้น ๆ
- ข้อควรระวัง:
- ความปลอดภัย: ไม่ควรใช้บรรจุอาหารที่ร้อนจัด ของมัน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้สารสไตรีน (Styrene) ซึ่งเป็นสารที่อาจก่อมะเร็ง ปนเปื้อนออกมาได้
- ปัญหาสิ่งแวดล้อม: รีไซเคิลได้ยากมาก มีน้ำหนักเบาทำให้ปลิวกระจายสู่สิ่งแวดล้อมได้ง่าย และใช้เวลาย่อยสลายนานมาก ปัจจุบันหลายประเทศ และหลายองค์กรมีนโยบายรณรงค์ให้เลิกใช้บรรจุภัณฑ์อาหารจากโฟม
- PLA (Polylactic Acid)
พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น ข้าวโพด หรืออ้อย สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพภายใต้สภาวะที่เหมาะสม (ในโรงหมักอุตสาหกรรม) นิยมใช้ทำแก้วกาแฟเย็น ถ้วยสลัด หรือหลอด
-
- ข้อดี: สามารถย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติได้ ภายใต้สภาวะการหมักในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นอย่างเหมาะสม ซึ่งช่วยลดปัญหาขยะพลาสติก ที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
- ข้อควรระวัง: ทนความร้อนต่ำ และราคาค่อนข้างสูงกว่าพลาสติกทั่วไป
วิธีเลือกบรรจุภัณฑ์พลาสติกให้เหมาะกับแบรนด์ของคุณ
- ประเภทของผลิตภัณฑ์
สินค้าของคุณคืออะไร? อาหารแห้งต้องการการป้องกันความชื้น (PP, LDPE) เครื่องดื่มอัดลมต้องการการป้องกันก๊าซ (PET) ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต้องการความทนทานต่อสารเคมี (HDPE) - ความปลอดภัยและมาตรฐาน
สิ่งสำคัญที่สุดคือ “Food Grade” ต้องมั่นใจว่าบรรจุภัณฑ์ที่เลือกสัมผัสกับอาหารได้อย่างปลอดภัย ไม่มีสารอันตรายปนเปื้อน โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับความร้อนหรือไขมัน - ภาพลักษณ์ของแบรนด์
คุณต้องการให้ลูกค้ารับรู้แบรนด์ของคุณแบบไหน?
-
- พรีเมียม: PET ที่ใสเหมือนแก้วช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดูหรูหรา และสะอาด
- เน้นความสะดวกสบาย: PP สำหรับอุ่นไมโครเวฟ ตอบโจทย์คนยุคใหม่
- รักษ์โลก: เลือกใช้พลาสติกรีไซเคิล หรือพลาสติกชีวภาพ พร้อมสื่อสารเรื่องนี้ให้ผู้บริโภคทราบ
- ฟังก์ชัน และอายุการเก็บรักษา
บรรจุภัณฑ์ต้องทำหน้าที่ปกป้องสินค้าจาก แสง อากาศ และความชื้น เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาให้ยาวนานที่สุด - ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
กระแสความยั่งยืนกำลังมาแรง การเลือกใช้พลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้ง่าย หรือมีส่วนผสมของพลาสติกรีไซเคิล ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นจุดขายที่แข็งแกร่งให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย
สรุป รู้ไว้ก่อนเลือก ช่วยให้ได้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ตอบโจทย์
การเลือกบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เหมาะสมเป็นมากกว่าการเลือกภาชนะสำหรับใส่ของ แต่มันคือการตัดสินใจที่สะท้อนถึงความใส่ใจในคุณภาพของสินค้า ความปลอดภัยของผู้บริโภค ภาพลักษณ์ของแบรนด์ และความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม
และประเภทบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้ง 7 ประเภทที่ HHP นำมาเสนอในวันนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะในโลกของบรรจุภัณฑ์ยังมีนวัตกรรม วัสดุทางเลือก อีกมากมายที่สามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ และสร้างความได้เปรียบให้กับแบรนด์ของคุณได้
หากคุณกำลังมองหาคู่คิด และผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติก ที่จะช่วยคุณค้นหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ สามารถติดต่อ HHP ได้เลยวันนี้ เราพร้อมให้คำปรึกษา และนำเสนอทางเลือกที่หลากหลาย เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของแบรนด์คุณ
คำถามที่พบบ่อย
- พลาสติกชนิดไหนที่สามารถนำเข้าไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย?
พลาสติกที่ปลอดภัยสำหรับไมโครเวฟคือ PP (Polypropylene) ซึ่งถูกออกแบบมาให้ทนความร้อนสูง ควรสังเกตสัญลักษณ์ “Microwave Safe” ประกอบด้วยเสมอ - “Food Grade” หมายถึงอะไร?
หมายถึงพลาสติกที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าปลอดภัย สามารถสัมผัสกับอาหารได้โดยตรง โดยไม่มีสารเคมีอันตรายปนเปื้อนออกมาในระดับที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค - พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) เช่น PLA เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจริงหรือ?
มีทั้งข้อดีและข้อควรระวัง ข้อดีคือผลิตจากพืช แต่ข้อควรระวังคือส่วนใหญ่ต้องการ “โรงหมักปุ๋ยอุตสาหกรรม” เพื่อการย่อยสลาย หากทิ้งในสภาพแวดล้อมทั่วไปจะยังคงเป็นขยะเหมือนพลาสติกธรรมดา - ทำไมขวดน้ำดื่มถึงใส (PET) แต่ขวดนมถึงขุ่น (HDPE)?
ขวดน้ำดื่ม (PET) ทำให้ใสเพื่อโชว์ความสะอาดน่าดื่ม ส่วนขวดนม (HDPE) มีสีขุ่นเพื่อป้องกันแสง UV ที่จะเข้าไปทำลายวิตามินและสารอาหารสำคัญในนม - พลาสติกประเภทไหนที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นพิเศษสำหรับบรรจุอาหาร?
โดยทั่วไปควรพยายามลดการใช้พลาสติก PVC และ พลาสติก PS (โดยเฉพาะโฟม) กับอาหาร เนื่องจากมีข้อกังวลเรื่องสารปนเปื้อนเมื่อโดนความร้อนหรือไขมัน และจัดการด้านสิ่งแวดล้อมได้ยาก